NYC Visa Service Co., Ltd. บริษัทให้คำปรึกษา รับยื่นวีซ่า รับแก้วีซ่าไม่ผ่าน ของประเทศออสเตรเลีย เปิดให้บริการมากกว่า 12 ปี มี 20 สาขาทั่วประเทศ ในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี สอบถามรายะเอียดเพิ่มเติม โทร : 083-2494999 Line ID : @NYC168
Australia Visa Service in Thailand
จากการที่ NYC Visa Service มีความชำนาญในเรื่องกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของประเทศออสเตรเลีย (Australia Visa Service in Thailand) จึงทำให้ได้รับการอนุมัติวีซ่าเร็วและง่ายขึ้น จึงพร้อมดำเนินการให้แก่ท่าน ตั้งแต่จัดเตรียมเอกสาร ประเมินแนะนำขั้นตอน พร้อมแก้ปัญหาที่จะเกิด การเตรียมตัว รวมไปถึงดูแลยื่นเอกสารที่สถานทูตในแต่ล่ะประเทศ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เราสามารถให้คำปรึกษา และบริการยื่นวีซ่าให้คุณได้
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่น Work Visa ประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี, รับยื่น Business Visa ประเทศออสเตรเลียในเทพประสิทธิ์ จังหวัดชลบุรี,
NYC Visa Service เป็นบริษัทที่รับทำวีซ่าทุกประเภท อาทิ เชงเก้นวีซ่า (Schengen visa), วีซ่าประเทศอเมริกา วีซ่าประเทศอังกฤษ วีซ่าประเทศออสเตรเลีย วีซ่าประเทศฝรั่งเศส วีซ่าประเทศสวีเดน วีซ่าประเทศเยอรมัน วีซ่าประเทศอิตาลี วีซ่าประเทศนิวซีแลนด์ วีซ่าประเทศนอร์เวย์ วีซ่าประเทศฟินแลนด์ วีซ่าประเทศออสเตรีย วีซ่าสเปน วีซ่าประเทศเดนมาร์ วีซ่าประเทศเนเธอร์แลนด์ วีซ่าประเทศโปแลนด์ วีซ่าประเทศฟินแลนด์ รับยื่นวีซ่าประเทศนอร์เวย์ รับยื่นวีซ่าประเทศเบลเยียม รับยื่นวีซ่าประเทศโปรตุเกส รับยื่นวีซ่าประเทศกรีซ รับยื่นวีซ่าประเทศโครเอเชีย รับยื่นวีซ่าประเทศเช็ก รับยื่นวีซ่าประเทศฟินแลนด์ รับยื่นวีซ่าประเทศมอลโดวา รับยื่นวีซ่าประเทศมอลตา รับยื่นวีซ่าประเทศมาซิโดเนีย รับยื่นวีซ่าประเทศยูเครน รับยื่นวีซ่าประเทศรัสเซีย รับยื่นวีซ่าประเทศโรมาเนีย รับยื่นวีซ่าประเทศลักเซมเบิร์กรับยื่นวีซ่าประเทศลัตเวีย รับยื่นวีซ่าประเทศลิทัวเนีย รับยื่นวีซ่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รับยื่นวีซ่าประเทศสวีเดน รับยื่นวีซ่าประเทศออสเตรีย รับยื่นวีซ่าประเทศอิตาลี รับยื่นวีซ่าประเทศไอซ์แลนด์ รับยื่นวีซ่าประเทศไอร์แลนด์ รับยื่นวีซ่าประเทศฮังการี วีซ่าออสเตรเลีย (Australia Visa Service in Thailand) เป็นต้น นอกจากนี้เรายังมีบริการรับแปลเอกสาร บริการรับรองเอกสารภาษาอื่น ๆ บริการประกันการเดินทาง และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย
ออสเตรเลีย (อังกฤษ: Australia) หรือชื่อทางการคือ เครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth of Australia)[5] เป็นประเทศซึ่งประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย, เกาะแทสเมเนีย และเกาะอื่น ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ มันเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโลกเมื่อนับพื้นที่ทั้งหมด ประเทศเพื่อนบ้านของออสเตรเลียประกอบด้วย อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินีและติมอร์-เลสเตทางเหนือ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และนิวแคลิโดเนียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และนิวซีแลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้
เป็นเวลาอย่างน้อย 40,000 ปี[6] ก่อนที่จะตั้งถิ่นฐานครั้งแรกของอังกฤษในศตวรรษที่ 18,[7][8] ประเทศออสเตรเลียเป็นที่อยู่อาศัยของชาวออสเตรเลียพื้นเมือง[9] ที่พูดภาษาที่แบ่งออกได้เป็นกลุ่มประมาณ 250 ภาษา.[10][11] หลังจากการค้นพบของทวีปโดยนักสำรวจชาวดัตช์ในปี ค.ศ. 1606, ครึ่งหนึ่งของฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียถูกอ้างว่าเป็นของสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1770 และตั้งรกรากในขั้นต้นโดยการขนส่งนักโทษมายังอาณานิคมของนิวเซาธ์เวลส์จากวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1788 จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมา ทวีปถูกสำรวจ และอีกห้าอาณานิคมปกครองตนเองของพระมหากษัตริย์ถูกจัดตั้งขึ้น
เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1901 หกอาณานิคมถูกตั้งขึ้นเป็นสหพันธ์, รวมตัวกันเป็นเครือรัฐออสเตรเลีย. ตั้งแต่นั้นมา ออสเตรเลียยังคงรักษาระบบการเมืองเสรีนิยมประชาธิปไตยที่มั่นคง ที่ ทำหน้าที่เป็นรัฐสภาประชาธิปไตยของรัฐบาลกลางและพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ สหพันธ์ประกอบด้วยหกรัฐ และอีกหลายพื้นที่ ประชากร 23.1 ล้านคน[12] อยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่และมีความหนาแน่นอย่างมากในรัฐทางตะวันออก[13]
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่มีเศรษฐกิจ ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในปี ค.ศ. 2012 ออสเตรเลียมีรายได้ต่อหัวที่สูงที่สุดอันดับห้าของโลก[14] ค่าใช้จ่ายทางทหารของออสเตรเลียมากที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก ด้วยดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่สูงที่สุดอันดับที่สองทั่วโลก, ออสเตรเลียถูกจัดอันดับที่สูงในการเปรียบเทียบระหว่างประเทศจำนวนมากของประสิทธิภาพการทำงานในระดับชาติ เช่น คุณภาพชีวิต, สุขภาพ, การศึกษา, เสรีภาพทางเศรษฐกิจ, และการปกป้องเสรีภาพของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง.[15] ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, G20, เครือจักรภพแห่งชาติ, ANZUS, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD), องค์การการค้าโลก, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกและหมู่เกาะแปซิฟิกฟอรั่ม
เนื้อหา
- 1ภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศ
- 2ประวัติศาสตร์
- 3การเมืองการปกครอง
- 4รัฐและดินแดน
- 5ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร
- 6สิ่งแวดล้อม
- 7เศรษฐกิจ
- 8โครงสร้างพื้นฐาน
- 9ประชากร
- 10วัฒนธรรม
- 11อ้างอิง
- 12แหล่งข้อมูลอื่น
เขตภูมิอากาศในประเทศออสเตรเลีย ตามการแบ่งประเภทภูมิอากาศ Köppenประเทศออสเตรเลียขนาด 7,617,930 ตารางกิโลเมตร (2,941,300 ตารางไมล์)[16] ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลก อินโด-ออสเตรเลีย ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดียทางทิศตะวันตก และมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันออก[N 1] มัน ถูกแยกออกจากเอเชียโดยทะเลอาราฟูรา และทะเลติมอร์ ที่มีแนวปะการังทะเล นอนอยู่นอกชายฝั่งรัฐควีนส์แลนด์, และทะเลแทสมันนอนอยู่ระหว่างประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จัดเป็นทวีปเล็กที่สุดในโลก[18] และอันดับหกของประเทศที่ใหญ่ที่สุดโดยพื้นที่ทั้งหมด,[19] ออสเตรเลีย เนื่องจากขนาดและโดดเดี่ยว มักจะถูกขนานนามว่า "ทวีปเกาะ"[20] และบางครั้งถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก[21] ประเทศออสเตรเลียมีชายฝั่งยาว 34,218 กิโลเมตร (21,262 ไมล์) (ไม่รวมเกาะนอกชายฝั่งทั้งหมด)[22] และอ้างสิทธิเหนือเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาด 8,148,250 ตารางกิโลเมตร (3,146,060 ตารางไมล์) เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ ไม่รวมถึงดินแดนขั้วโลกใต้ของออสเตรเลีย[23] และไม่รวม Macquarie Island ออสเตรเลียอยู่ระหว่างละติจูด 9° และ 44°S, และ ลองจิจูด 112° และ 154°E
Great Barrier Reef แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก[24] อยู่ห่างออกไปจากชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือและขยายไปยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร (1,240 ไมล์). ภูเขาออกัสตัส, อ้างว่าเป็นหินใหญ่ก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก[25] ตั้งอยู่ในออสเตรเลียตะวันตก. ที่ความสูง 2,228 เมตร (7,310 ฟุต) ภูเขา Kosciuszko บน Great Dividing Range เป็นภูเขาที่สูงที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลีย แม้ว่าที่สูงกว่าคือ Mawson Peak (ที่ 2,745 เมตรหรือ 9,006 ฟุต), บนดินแดนที่ห่างไกลของออสเตรเลียที่เรียกว่า Heard Island, และใน Australian Antarctic Territory, ภูเขา McClintock และภูเขา Menzies ที่ความสูง 3,492 เมตร (11,457 ฟุต) และ 3,355 เมตร (11,007 ฟุต) ตามลำดับ.[26]
Everlastings บนภูเขา Hotham ตั้งอยู่ในรัฐวิกตอเรียเนื่องด้วยขนาดที่กว้างขวางของประเทศออสเตรเลียส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางภูมิประเทศ, ที่มีป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือ, ภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้, ตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออก และทะเลทรายแห้งในภาคกลาง.[27] มันเป็นทวีปที่ราบเรียบ[28] ที่มีผืนดินที่เก่าแก่ที่สุดและดินอุดมสมบูรณ์นัอยที่สุด[29][30] ทะเลทรายหรือที่ดินกึ่งแห้งแล้งที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นชนบททำให้เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของที่ดิน[31] ทวีปที่มีอาศัยอยู่ที่แห้งที่สุด เฉพาะทางตะวันออกเฉียงใต้และมุมทางตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่มีอากาศเย็น.[32]ความหนาแน่นของประชากร, ที่ 2.8 ประชากรต่อตารางกิโลเมตร, อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก[33] ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของประชากรจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอุณหภูมิดีพอสมควร[34]
ภาคตะวันออกของออสเตรเลียถูกทำเครื่องหมายโดย Great Dividing Range ที่วิ่งขนานไปกับ ชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์, นิวเซาธ์เวลส์และบริเวณกว้างใหญ่ของวิกตอเรีย ชื่อ Great Dividing Range นี้ไม่ถูกต้องเท่าไร เพราะหลายส่วนของแนวเขา ประกอบด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ และที่ราบสูงมักจะสูงไม่เกิน 1,600 เมตร (5,249 ฟุต).[35] บริเวณที่สูงชายฝั่งและเข็มขัดของทุ่งหญ้า Brigalow อยู่ระหว่างชายฝั่งและภูเขา ในขณะที่แผ่นดินด้านในของ dividing range เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของทุ่งหญ้า.[35][36] เหล่านี้รวมถึงที่ราบทางตะวันตกของนิวเซาธ์เวลส์ และ Einasleigh Uplands, Barkly Tableland และ Mulga Lands ของรัฐควีนส์แลนด์ จุด เหนือสุดของชายฝั่งตะวันออกเป็นคาบสมุทร Cape York ที่เป็นเขตป่าฝนเขตร้อน.[37][38][39][40]
สภาพภูมิอากาศของออสเตรเลียได้รับอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญจากกระแสน้ำในมหาสมุทร รวมทั้ง Dipole และ El Niño–Southern Oscillation จากมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ ความแห้งแล้งตามฤดู และ ระบบความดันต่ำในเขตร้อนตามฤดูกาลที่ผลิตพายุไซโคลนในภาคเหนือของออสเตรเลีย.[51][52] ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจากปีต่อปี พื้นที่จำนวนมากทางตอนเหนือของประเทศมีสภาพภูมิอากาศเขตร้อน, ส่วนใหญ่เป็นฝนฤดูร้อน (มรสุม).[53] มุมตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศมีภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียน.[54] พื้นที่จำนวนมากของตะวันออกเฉียงใต้(รวมทั้ง แทสเมเนีย) เป็นเมืองหนาว.[53]
ประวัติศาสตร์ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย
1606 Willem Janszoon
1606 Luis Váez de Torres
1616 Dirk Hartog
1619 Frederick de Houtman
≥≥≈≈≈
1644 Abel Tasman
1696 Willem de Vlamingh
1699 William Dampier
1770 James Cook
1797–1799 George Bass
1801–1803 Matthew Flinders
การตั้งถิ่นฐาน
ซิดนีย์ 1894การค้นพบออสเตรเลียของชาวยุโรปครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1606 เป็นเรือของชาวดัตช์ โดยกัปตัน Willem Janszoon ทำแผนที่ชายฝั่งส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย ระหว่างปี ค.ศ. 1606 และ ค.ศ. 1770 มีเรือของชาวยุโรปประมาณ 54 ลำจากหลายชาติเดินทางมาที่ออสเตรเลีย ซึ่งรู้จักในขณะนั้นว่านิวฮอลแลนด์[57] ในปีค.ศ. 1770 เจมส์ คุก เดินทางมาสำรวจออสเตรเลียและทำแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรให้ชื่อว่านิวเซาท์เวลส์ ต่อมาสหราชอาณาจักรใช้ออสเตรเลียเป็นทัณฑนิคม[57] กองเรือชุดแรกเดินทางมาถึงออสเตรเลียที่อ่าวซิดนีย์ในปี ค.ศ. 1787 ในวันที่ 26 มกราคม (ค.ศ. 1788) ซึ่งต่อมาเป็นวันออสเตรเลีย ผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกส่วนใหญ่เป็นนักโทษและครอบครัวของทหาร โดยมีผู้อพยพเสรีเริ่มเข้ามาในปี ค.ศ. 1793 มีการตั้งถิ่นฐานบนเกาะแทสเมเนีย หรือชื่อในขณะนั้นคือฟานไดเมนส์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1803 และตั้งเป็นอาณานิคมแยกอีกแห่งหนึ่งในปี ค.ศ. 1825 สหราชอาณาจักรประกาศสิทธิในฝั่งตะวันตกในปี ค.ศ. 1829 และเริ่มมีการตั้งอาณานิคมแยกขึ้นมาอีกหลายแห่ง ได้แก่เซาท์ออสเตรเลีย วิกตอเรีย และควีนส์แลนด์ โดยแยกออกมาจากนิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลียไม่เคยเป็นอาณานิคมนักโทษ[57] ในขณะที่วิกตอเรียและเวสเทิร์นออสเตรเลียยอมรับการขนส่งนักโทษภายหลัง[58][59] เรือนักโทษลำสุดท้ายมาถึงนิวเซาท์เวลส์ในปี 1848 หลังจากการรณรงค์ยกเลิกโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน[60] การขนส่งนักโทษยุติอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2396 ในนิวเซาท์เวลส์และแทสเมเนีย และปี ค.ศ. 1868 ในเวสเทิร์นออสเตรเลีย[58]
ปี ค.ศ. 1851 เอดเวิร์ด ฮาร์กรีฟส์ ค้นพบสายแร่ทอง ในที่ ๆ เขาตั้งชื่อว่าโอฟีร์ (Ophir) ในนิวเซาท์เวลส์ ทำให้เกิดยุคตื่นทอง นำคนจำนวนมากเดินทางมาออสเตรเลีย[61] ในปีค.ศ. 1901 หกอาณานิคมในออสเตรเลียรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐในชื่อเครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth of Australia) ประกอบด้วยรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย รัฐควีนส์แลนด์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และรัฐแทสเมเนีย รวมหกรัฐเข้าอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญหนึ่งเดียว เฟเดอรัลแคพิทัลเทร์ริทอรีก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1911 เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐ จากส่วนหนึ่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ บริเวณแยส-แคนเบอร์รา และเริ่มดำเนินงานรัฐสภาในแคนเบอร์ราในปี ค.ศ. 1927[62] ในปี ค.ศ. 1911 นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี แยกตัวออกมาจากเซาท์ออสเตรเลีย และเข้าเป็นดินแดนในกำกับของสหพันธ์ ออสเตรเลียสมัครใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมถึง 60,000 คนจากประชากรชายน้อยกว่าสามล้านคน[55]
การปกครองตนเอง
พิธีเปิดรัฐสภาแห่งออสเตรเลียออสเตรเลียประกาศใช้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ ค.ศ. 1931 ในปี ค.ศ. 1942 โดยมีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939[63] ซึ่งเป็นการยุติบทบาทนิติบัญญัติของสหราชอาณาจักรในออสเตรเลียเกือบทั้งหมด ในสงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียประกาศสงครามกับเยอรมนีพร้อมกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส หลังจากเยอรมนีบุกโปแลนด์[64] ออสเตรเลียส่งทหารเข้าร่วมสมรภูมิในยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกาเหนือ แผ่นดินออสเตรเลียโดนโจมตีโดยตรงครั้งแรกจากการเข้าตีโฉบฉวยทางอากาศของญี่ปุ่นที่ดาร์วิน[65] ออสเตรเลียยุตินโยบายออสเตรเลียขาว โดยดำเนินการขั้นสุดท้ายในปีค.ศ. 1973[66] พระราชบัญญัติออสเตรเลีย ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) ยกเลิกบทบาทของสหราชอาณาจักรในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการของออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง ในปี ค.ศ. 1999 ออสเตรเลียจัดการลงประชามติ ว่าจะให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีแต่งตั้งจากรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งคะแนนเสียงเกือบ 55% ลงคะแนนปฏิเสธ[67]
การเมืองการปกครองออสเตรเลียมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีรูปแบบรัฐบาลเป็นสหพันธรัฐ และระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประมุขแห่งรัฐของออสเตรเลียคือพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 พระอิสริยยศในออสเตรเลียคือ Elizabeth the Second, by the Grace of God Queen of Australia and Her other Realms and Territories, Head of the Commonwealth[68]
ผู้สำเร็จราชการเครือรัฐออสเตรเลียเป็นผู้แทนพระองค์ในออสเตรเลียของพระประมุขซึ่งประทับอยู่ในสหราชอาณาจักร รัฐธรรมนูญของออสเตรเลียระบุว่า "อำนาจบริหารเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถ และทรงใช้อำนาจนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถ"[69] อำนาจของผู้สำเร็จราชการนั้นรวมถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีและผู้พิพากษา การยุบสภา และการลงนามบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ ผู้สำเร็จราชการยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย[69] ในทางธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ผู้สำเร็จราชการจะใช้อำนาจตามคำแนะนำของรัฐมนตรี[70] สภาบริหารสหพันธรัฐ (Federal Executive Council) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ผู้สำเร็จราชการ โดยมีผู้สำเร็จราชการเป็นประธานการประชุม และรัฐมนตรีทุกคนมีสมาชิกภาพตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติจะเรียกประชุมเฉพาะรัฐมนตรีคณะปัจจุบัน[71] รัฐบาลจะมาจากพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
บริหารกระทรวง
ลำดับที่ชื่อกระทรวงภาษาไทยชื่อกระทรวงภาษาอังกฤษ
1กระทรวงเกษตรและทรัพยากรน้ำDepartment of Agriculture and Water Resources
2สำนักอัยการสูงสุดAttorney-General's Department
3กระทรวงการสื่อสารและศิลปกรรมDepartment of Communications and the Arts
4กระทรวงกลาโหมDepartment of Defence
5กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรมDepartment of Education and Training
6กระทรวงการจัดหางานDepartment of Employment
7กระทรวงสิ่งแวดล้อมDepartment of the Environment
8กระทรวงการคลังDepartment of Finance
9กระทรวงการต่างประเทศและการค้าDepartment of Foreign Affairs and Trade
10กระทรวงสาธารณสุขDepartment of Health
11กระทรวงบริการมนุษย์Department of Human Services
12กระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและป้องกันชายแดนDepartment of Immigration and Border Protection
13กระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาภูมิภาคDepartment of Infrastructure and Regional Development
14กระทรวงอุตสาหกรรม นวัตกรรม และวิทยาศาสตร์Department of Industry, Innovation and Science
15สำนักนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีDepartment of the Prime Minister and Cabinet
16กระทรวงประชาสงเคราะห์Department of Social Services
17กระทรวงธนารักษ์Department of the Treasury
18กระทรวงกิจการทหารผ่านศึกDepartment of Veterans' Affairsนิติบัญญัติ
อาคารรัฐสภาในแคนเบอร์รา เปิดใช้แทนอาคารหลังเดิมในปี พ.ศ. 2531
ดูบทความหลักที่: รัฐสภาออสเตรเลีย
ดูหน้าหลักที่: หมวดหมู่:การเลือกตั้งในออสเตรเลียออสเตรเลียมีรัฐสภาเก้าแห่ง หนึ่งสภาของสหพันธ์ หกสภาของแต่ละรัฐ และสองสภาของแต่ละดินแดน รัฐสภาของสหพันธ์ ใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร (House of Representative) และวุฒิสภา (Senate) สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 150 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยแบ่งเป็นเขตเลือกตั้ง มีผู้แทนเขตละหนึ่งคน วุฒิสภามีสมาชิก 76 คน มาจากแต่ละรัฐ รัฐละ 12 คน และจากดินแดน (เขตเมืองหลวงและนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี) ละสองคน[72] ทั้งสองสภาจัดการเลือกตั้งทุกสามปี สมาชิกวุฒิสภามีวาระ 6 ปี โดยการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด
ออสเตรเลียมีพรรคการเมืองหลักสามพรรค ได้แก่พรรคแรงงานออสเตรเลีย พรรคเสรีนิยม และพรรคชาติ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2465 รัฐบาลของสหพันธ์มาจากพรรคแรงงานหรือเป็นรัฐบาลผสมของพรรคเสรีนิยมและพรรคชาติ[73] ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีแมลคัม เทิร์นบุลล์ มาจากพรรคเสรีนิยม พรรคอื่น ๆ ที่มีบทบาทได้แก่ออสเตรเลียนเดโมแครต และออสเตรเลียนกรีนส์ โดยมักได้ที่นั่งในวุฒิสภา
ตุลาการดูบทความหลักที่: ระบบกฎหมายออสเตรเลียการบังคับใช้กฎหมายส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้สถานการณ์การเมืองส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้รัฐและดินแดนดูบทความหลักที่: รัฐและดินแดนของออสเตรเลีย
แผนที่รัฐและดินแดนของออสเตรเลียออสเตรเลียแบ่งออกเป็น 6 รัฐ ได้แก่
- รัฐนิวเซาท์เวลส์
- รัฐควีนส์แลนด์
- รัฐเซาท์ออสเตรเลีย
- รัฐแทสเมเนีย
- รัฐวิกตอเรีย และ
- รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
แต่ละรัฐและดินแดนมีสภานิติบัญญัติของตัวเอง โดยในควีนสแลนด์และดินแดนทั้งสองแห่งเป็นลักษณะสภาเดี่ยว ในขณะที่ในรัฐที่เหลือเป็นแบบสภาคู่ สมเด็จพระราชินีมีผู้แทนพระองค์ในแต่ละรัฐ เรียกว่า "governor" และในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี administrator ส่วนในเขตเมืองหลวง ใช้ผู้แทนพระองค์ของเครือรัฐ (governor-general)
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหารดูบทความหลักที่: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของออสเตรเลีย และ กองทัพออสเตรเลียกว่าทศวรรษที่ผ่านมา, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของออสเตรเลียได้รับการผลักดันจากการใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาผ่านข้อตกลง ANZUS, และความปรารถนาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับ เอเชียและแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน ASEAN และ หมู่เกาะแปซิฟิกฟอรั่ม. ในปี ค.ศ. 2005 ออสเตรเลียมีนั่งในการเปิดประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ต่อจากการเข้าร่วมกับ สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, และในปี ค.ศ. 2011 เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งที่หกในอินโดนีเซีย. ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งชาติในที่ซึ่งการประชุมของห้วหน้ารัฐบาลของกลุ่มเครือจักรภพได้กำหนดฟอรั่มหลักสำหรับการทำงานร่วมกัน.[75]
พร้อมกับนิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, มาเลเซียและสิงคโปร์, ออสเตรเลียเป็นภาคี การเตรียมการห้ากำลังป้องกัน ซึ่งเป็นข้อตกลงในระดับภูมิภาค ประเทศสมาชิกที่จัดตั้งของสหประชาชาติ, ออสเตรเลียมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเป็นพหุภาคี[88] และรักษาโปรแกรมความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ภายใต้โปรแกรมซึ่งมี 60 ประเทศได้รับความช่วยเหลือ งบประมาณปี ค.ศ. 2005-06 จัดให้ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อความช่วยเหลือการพัฒนา[89]. ออสเตรเลียอยู่ในอันดับเจ็ดโดยรวมด้านดัชนีความมุ่งมั่นในการพัฒนาปี 2008ของศูนย์การพัฒนาทั่วโลก.[90]
กองกำลังติดอาวุธของออสเตรเลียชื่อ the Australian Defence Force (ADF) ประกอบด้วยราชนาวีออสเตรเลีย (RAN), กองทัพออสเตรเลียและกองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF), รวม จำนวน 80,561 นาย (รวม 55,068 ประจำการ และ 25,493 กองหนุน).[91]บทบาทในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดตกเป็นของข้าหลวงใหญ่, ผู้แต่งตั้งหัวหน้ากองกำลังป้องกัน จากหนึ่งในบริการที่ติดอาวุธ ตามคำแนะนำของรัฐบาล.[92] การดำเนินการของกองกำลังวันต่อวันอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้บัญชากสรทหารสูงสุด ในขณะที่ การบริหารงานในวงกว้าง และการกำหนดนโยบายการป้องกันมีการดำเนินการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงและกรมกลาโหม
ในงบประมาณปี ค.ศ. 2010-11, การใช้จ่ายด้านการป้องกันมีจำนวน A$ 25.7 พันล้าน[93] เป็นอันดับที่ 13 ของงบประมาณกลาโหมที่ใหญ่ที่สุด[94] ออสเตรเลียได้มีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพ, การบรรเทาภัยพิบัติและความขัดแย้งที่ใช้อาวุธของสหประชาชาติและของภูมิภาค ปัจจุบันได้มีการวางกำลังประมาณ 3,330 บุคลากรกองกำลังการป้องกันที่แตกต่างกันในด้านความจุไปที่ 12 การดำเนินงานระหว่างประเทศในพื้นที่รวมทั้งติมอร์-เลสเต, หมู่เกาะโซโลมอน และอัฟกานิสถาน[95]
สิ่งแวดล้อมบทความหลัก: สิ่งแวดล้อมของออสเตรเลีย
ดูเพิ่มเติม: สัตว์ของออสเตรเลีย, ฟลอราของออสเตรเลียและ เชื้อราของออสเตรเลีย
แม้ว่าส่วนใหญ่ของออสเตรเลียเป็นกึ่งแห้งแล้ง หรือทะเลทราย, มันจะมีความหลากหลายของ แหล่งที่อยู่อาศัยตั้งแต่ต้นไม้เตี้ยเป็นพุ่มที่ขึ้นตามทุ่งแบบอัลไพน์จนถึงป่าฝนเขตร้อน และได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นประเทศ megadiverse. เชื้อราเป็นสัญลักษณ์ความหลากหลายนั้น จำนวนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย รวมถึงพวกที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ มีการคาดการณ์ ที่ประมาณ 250,000 ชนิด, ในจำนวนนั้นมีประมาณ 5% ที่สามารถอธิบายได้.[96] เพราะความเก่าแก่ของทวีป รูปแบบสภาพอากาศแปรเปลี่ยนอย่างสุดขั้วและการอยู่โดดเดียวทางภูมิศาสตร์ในระยะยาว, สิ่งมีชีวิตในออสเตรเลียจำนวนมากจึงเป็นเอกลักษณ์และมีความหลากหลาย. ประมาณ 85% ของพืชดอก, 84% ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, กว่า 45% ของนกและ 89% ของสัตว์บก, ปลาโซนเย็น เป็นของประจำถิ่น.[97] ออสเตรเลียมีสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมากที่สุดของประเทศใด ๆ, มีถึง 755 สายพันธุ์.[98]
หมีโคอาลาที่เกาะอยู่บนต้นยูคาลิปตัส ที่หัวของมันหันไปข้างหลังทำให้เราสามารถมองเห็นดวงตาทั้งสองข้างได้, หมีโคอาลาและยูคาลิปตัสอยู่ในรูปแบบสัญลักษณ์คู่ของออสเตรเลียป่าออสเตรเลียส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากสายพันธุ์ที่เขียวชอุ่มตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นยูคาลิปตัสในดินแดนแห้งแล้งน้อย ไม้สานต่าง ๆ จะแทนที่พวกเขาในพื้นที่แห้งและทะเลทรายในฐานะที่เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นมากที่สุด.[99] ท่ามกลางสัตว์ในออสเตรเลียที่รู้จักกันดี คือสัตว์ประเภท monotremes (ตัวตุ่นและตุ่นปากเป็ด); สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องเลี้ยงลูก รวมถึง จิงโจ้, โคอาล่า และ wombat และนก เช่น นกอีมูและ Kookaburra.[99] ออสเตรเลียเป็นบ้านของสัตว์ที่เป็นอันตรายจำนวนมากรวมทั้งบางส่วนของงูที่มีพิษรุนแรงที่สุดในโลก.[100] ดิงโกได้รับการแนะน โดยคน Austronesian ที่ค้าขายกับชาวออสเตรเลียพื้นเมืองประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช[101] พืชและสัตว์หลายสายพันธุ์ได้สูญพันธุ์ไปในไม่ช้าหลังจาก การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์คนแรก[102] รวมทั้งพันธ์สัตว์ท้องถิ่นออสเตรเลีย, พวกอื่น ๆ ได้หายไปตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป, ในหมู่พวกมันคือ Thylacine.[103][104]
หลายภูมิภาคนิเวศน์ของออสเตรเลียและสายพันธุ์ทั้งหลายภายในภูมิภาคเหล่านั้น กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์และสัตว์ที่มนุษย์นำมาด้วย, chromistan, เชื้อราและพันธุ์พืช.[105] พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของรัฐบาลกลางปี ค.ศ. 1999 เป็นกรอบกฎหมายสำหรับการป้องกันภัยคุกคามของพืชพันธ์.[106] พื้นที่ทั่ได้รับการป้องกันจำนวนมากถูกจัดทำขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ของความหลากหลายทางชีวภาพของออสเตรเลียเพื่อป้องกันและอนุรักษ์ระบบนิเวศที่เป็นหนึ่งเดียว[107][108] 65 พื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์,[109] และ 16 แหล่งมรดกโลกธรรมชาติได้รับการจัดตั้งขึ้น.[110]ออสเตรเลียเป็นอันดับที่ 51 จาก 163 ประเทศทั่วโลกในดัชนีการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมปี ค.ศ. 2010.[111]
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเทศออสเตรเลียในปีที่ผ่านมา และการป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองที่สำคัญ.[112][113] ในปี ค.ศ. 2007 รัฐบาลนายรัดด์ครั้งแรกได้ลงนามในตราสาร ของการให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต อย่างไรก็ตาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของออสเตรเลียต่อหัวอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลกที่ ต่ำกว่าเพียงไม่กี่ประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ.[114] ปริมาณฝนที่ตกในประเทศออสเตรเลียได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา, ทั้งทั่วประเทศและสำหรับสองในสี่ส่วนของประเทศ[115] อ้างอิงถึงข้อความสภาพภูมิอากาศออสเตรเลียปี ค.ศ. 2011 ของสำนักอุตุนิยมวิทยา, ออสเตรเลีย มีอุณหภูมิในปี ค.ศ. 2011 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เป็นผลมาจากรูปแบบของสภาพอากาศ La Niña อย่างไรก็ตาม " ค่าเฉลี่ย 10 ปีของประเทศยังคงแสดงให้เห็นถึง แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ, ที่ในปี ค.ศ. 2002-2011 มีแนวโน้มที่จะมีอันดับในยอดสูงสุดของสองรอบ 10 ปีที่อบอุ่นที่สุดในบันทึกของ ออสเตรเลีย, ที่ 0.52°C สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ".[116] การจำกัดเรื่องน้ำมักจะมีในหลายภูมิภาคและหลายเมืองของออสเตรเลียในการตอบสนองต่อการขาดแคลนเรื้อรัง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและภัยแล้งในท้องถิ่น.[117][118] ทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีป น้ำท่วมใหญ่ เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตามระยะเวลาที่ขยายออกไปของฤดูแล้ง, ไหลบ่าลงสู่ระบบแม่น้ำในแผ่นดิน, ล้นเขื่อนและรวบรวมจนท่วมบนที่ราบขนาดใหญ่, อย่างที่เกิดขึ้นทั่วภาคตะวันออกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2010, 2011 และ 2012 หลังจากยุคภัยแล้ง 2000s ของออสเตรเลีย
เศรษฐกิจดูบทความหลักที่: เศรษฐกิจของออสเตรเลียดูเพิ่มเติม: ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของออสเตรเลีย รายได้ของครัวเรือนเฉลี่ยในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และ การขนส่งในประเทศออสเตรเลีย
หลุมเหมืองทองขนาดใหญ่ใน Kalgoorlie เป็นเหมืองแบบเปิดหน้าดินที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย.[119]ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ร่ำรวยประเทศหนึ่ง[120][121][122] ที่มีเศรษฐกิจแบบตลาด, จีดีพีต่อหัวของประชากรที่ค่อนข้างสูง และอัตราของความยากจนที่ค่อนข้างต่ำ ในแง่ของความมั่งคั่งเฉลี่ย, ออสเตรเลียเป็นอันดับสองในโลกตามหลังสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 2013, ถึงแม้ว่า อัตราความยากจนของประเทศได้เพิ่มขึ้นจาก 10.2 เปอร์เซนต์ในปี 2000 เป็น 11.8 เปอร์เซนต์ในปี ค.ศ. 2013.[123][124] มันได้รับการระบุโดย สถาบันวิจัยเครดิตสวิส ว่าเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก และความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงสุดต่อผู้ใหญ่เป็นอันดับสองใน ค.ศ. 2013.[123]
เงินดอลลาร์ออสเตรเลียเป็นสกุลเงินของประเทศ, รวมทั้งของเกาะคริสมาสต์, หมู่เกาะโคโคส (คีลิง) และ เกาะนอร์โฟล์ค เช่นเดียวกับรัฐอิสระเกาะแปซิฟิกของประเทศคิริบาติ, นาอูรู และ ตูวาลู. ด้วยการควบรวมกิจการของ ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียและตลาดอนาคตซิดนีย์ในปี ค.ศ. 2006, ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียได้กลายเป็นอันดับเก้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก.[125]
อันดับสามในดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (ค.ศ. 2010),[126] ออสเตรเลียเป็น เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่สิบสองของโลกและ มี GDP ต่อหัว(ประมาณ)ที่สูงที่สุดเป็นอันดับห้า ที่ $ 66,984. ประเทศเป็นอันดับที่สองใน ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติปี ค.ศ. 2011 และเป็นที่หนึ่ง ใน ดัชนีเจริญรุ่งเรืองของ Legatum ปี ค.ศ. 2008[127] เมืองใหญ่ทั้งหมดของออสเตรเลียมีอันดับที่ดีใน การสำรวจความน่าอยู่เปรียบเทียบระดับโลก.[128] เมลเบิร์นเป็นเมืองอันดับหนึ่งในหนังสือ The Economist ในปี ค.ศ. 2011,[129] 2012[130] และ 2013 ของรายชื่อเมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลก ตามด้วย แอดิเลด, ซิดนีย์ และ เพิร์ธ ในอันดับที่ห้า, เจ็ด และเก้าตามลำดับ[131] หนี้ภาครัฐรวมในประเทศออสเตรเลียอยู่ที่ประมาณ $190 พันล้าน[132] - 20% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2010.[133] ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีราคาบ้านสูงที่สุด และบางส่วนของระดับหนี้ในครัวเรือนสูงสุดในโลก.[134]
ปลายทางและมูลค่าการส่งออกของออสเตรเลียในปี 2006[135]การให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้า มากกว่าสินค้าที่ผลิตได้ ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในแง่ของการค้าของออสเตรเลีย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของศตวรรษที่ 21 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ออสเตรเลียมีความสมดุลของการชำระเงิน ที่มีมากขึ้นกว่า 7% ของ GDP ลบและ มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีขนาดใหญ่เสมอนานกว่า 50 ปี.[136]ออสเตรเลียมีการเติบโตในอัตราเฉลี่ย 3.6% ต่อปีนานกว่า 15 ปีที่ผ่านมา, ในการเปรียบเทียบกับ ค่าเฉลี่ยประจำปีของ OECD ที่ 2.5%.[136] ออสเตรเลียเป็นประเทศเศรษฐกิจขั้นสูงประเทศเดียวที่ไม่ได้มีประสพการณ์กับภาวะถดถอยเนื่องจากการชะลอตัวทางการเงินระดับโลกในปี 2008-2009.[137] อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของหกประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ของออสเตรเลียอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศออสเตรเลียอย่างมีนัยสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา.[138][139] จาก ปี ค.ศ. 2012 ถึงต้นปี ค.ศ. 2013 เศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลียเติบโต แต่บางรัฐที่ไม่ได้ทำเหมืองแร่และ เศรษฐกิจที่ไม่ใช่การทำเหมืองแร่ของออสเตรเลียประสบกับภาวะถดถอย.[140][141][142]
รัฐบาลของนายกฯ Hawke ได้ลอยค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียในปี ค.ศ.1983 และ deregulated ระบบการเงินบางส่วน.[143] รัฐบาลของนายกฯ ฮาวเวิร์ด ทำตามด้วยการ deregulated บางส่วนของตลาดแรงงานและตามด้วยการแปรรูปธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของอย่างยอดเยี่ยมที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม.[144] ระบบภาษีทางอ้อมที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2000 ที่มีการเปิดตัวของภาษีสินค้าและบริการ (GST) ที่ 10%.[145] ในระบบภาษีของออสเตรเลีย ภาษี รายได้ส่วนบุคคลและบริษัทเป็นแหล่งที่มาหลักของรายได้ของรัฐบาล.[146]
ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2012 มีลูกจ้าง 11,537,900 คน (ทั้งแบบเต็มเวลาและไม่เต็มเวลา) และมี อัตราการว่างงานที่ 5.1%.[147] การว่างงานเยาวชน (อายุ 15-24) อยู่ที่ 11.2%.[147] ข้อมูลที่ปล่อยออกมาในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้รับสวัสดิการได้เติบโตขึ้นถึง 55%. ในปี ค.ศ. 2007, 228,621 ผู้รับค่าเผื่อการว่างงานของ Newstart ได้รับการจดทะเบียน ทำให้ยอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 646,414 คน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013.[148]
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อมักจะอยู่ที่ 2-3% และอัตราดอกเบี้ยฐานที่ 5-6% ภาคบริการของเศรษฐกิจรวมทั้ง การท่องเที่ยว, การศึกษาและการบริการทางการเงิน มีประมาณ 70% ของ จีดีพี.[149] อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ, ออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของผลิตภัณฑ์ ทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวสาลีและขนสัตว์, แร่ธาตุ เช่นเหล็กและทอง และพลังงานในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว และถ่านหิน แม้ว่า การเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติมีมูลค่า 3% และ 5% ของ GDP ตามลำดับ พวกมันมีส่วนร่วมอย่างมากกับประสิทธิภาพการส่งออก ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐ, เกาหลีใต้และ นิวซีแลนด์.[150] ออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกไวน์และอุตสาหกรรมไวน์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก สร้างรายได้ 5.5 พันล้านเหรียญต่อปีให้กับเศรษฐกิจของประเทศ.[151]
การท่องเที่ยวส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้โครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้คมนาคม และ โทรคมนาคมส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ประชากรดูบทความหลักที่: ประชากรของออสเตรเลีย, การอพยพเข้าเมืองไปยังประเทศออสเตรเลีย และ รายชื่อของเมืองในประเทศออสเตรเลียแบ่งตามจำนวนประชากร
ชายหาดที่ลาดลงจากพื้นหญ้าด้านซ้ายไปยังทะเลที่อยู่ด้านขวา, เมืองที่สามารถมองเห็นได้ในเส้นขอบฟ้า, เกือบสามในสี่ของชาวออสเตรเลียอาศัยอยู่ในเขตเมืองและพื้นที่ชายฝั่งทะเล ชายหาดเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของชาวออสเตรเลีย.[152]เป็นเวลาเกือบสองศตวรรษ ส่วนใหญ่ของผู้ตั้งถิ่นฐาน, และผู้อพยพเข้ามาภายหลัง, ได้มาจากเกาะอังกฤษ เป็นผลให้ ผู้คนในประเทศออสเตรเลียเป็นชาวอังกฤษและ/หรือชาติกำเนิดไอริชเป็นหลัก การสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2011 ได้ถามผู้ตอบแบบสอบถามที่จะให้สองบรรพบุรุษของพวกเขาสามารถระบุตัวตนของตัวเองได้ใกล้ที่สุด บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นชาวอังกฤษ (36.1%) ตามด้วยออสเตรเลีย (35.4%),[153] ไอริช (10.4%), สก็อต (8.9%), อิตาลี (4.6%), เยอรมัน (4.5%), จีน (4.3%), อินเดีย (2.0%), กรีก (1.9%) และ เนเธอร์แลนด์ (1.7%).[154] ชาวออสเตรเลียเชื้อสายเอเซียจะเป็น 12% ของประชากรทั้งหมด.[155]
ประชากรของออสเตรเลีย ได้เพิ่มเป็นสี่เท่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[156] แต่อย่างไรก็ตาม ความหนาแน่นของประชากร, ที่ 2.8 ประชากรต่อตารางกิโลเมตร, ยังคงอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก.[33] ประชากรที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก มาจากการอพยพเข้าเมือง หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงปี ค.ศ. 2000 เกือบ 5.9 ล้านคนเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศโดยเป็น ผู้อพยพใหม่ ซึ่งหมายความว่า เกือบสองในเจ็ดของชาวออสเตรเลียได้เกิดในประเทศอื่น.[157] ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฝีมือ[158] แต่โควต้าคนเข้าเมืองรวมถึง หมวดหมู่สำหรับสมาชิกในครอบครัวและผู้ลี้ภัย.[158] ในปี ค.ศ. 2050 ประชากรของออสเตรเลีย เป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีถึงประมาณ 42 ล้านคน.[159]
ในปี ค.ศ. 2011, 24.6% ของชาวออสเตรเลียเกิดจากที่อื่น และ 43.1% ของประชาชนมีอย่างน้อย หนึ่งผู้ปกครองเกิดในต่างประเทศ,[160] กลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดเป็นผู้ที่มาจากสหราชอาณาจักร, นิวซีแลนด์, จีน, อินเดีย, อิตาลี, เวียดนามและฟิลิปปินส์.[161]
กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรของออสเตรเลียมีเชื้อสายยุโรป และส่วนใหญ่ของส่วนที่เหลือเป็นคนเอเชียเก่าแก่ ที่มีชนกลุ่มน้อยขนาดเล็กของพื้นหลังของชนพื้นเมือง หลังจากการยกเลิกนโยบายออสเตรเลียขาวในปี ค.ศ. 1973, โครงการของรัฐบาลจำนวนมากได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมความสามัคคีเชื้อชาติที่ขึ้นอยู่กับนโยบายของวัฒนธรรมหลากหลาย.[162] ในปี ค.ศ. 2005-2006 มากกว่า 131,000 คน อพยพไปอยู่ออสเตรเลีย ส่วนใหญ่มาจากเอเชียและโอเชียเนีย.[163]เป้าหมายสำหรับการย้ายถิ่นปี ค.ศ. 2012-13 อยู่ที่ 190,000[164] เมื่อเทียบกับ 67,900 ในปี ค.ศ. 1998-99.[165]
มุมมองทางอากาศของท้องทุ่งทำการเกษตรสลับกับถนน, ป่าขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ด้านหน้าของภาพ. Barossa Valley เป็นภูมิภาคที่ผลิตในไวน์ในออสเตรเลียใต้ประชากรในชนบทของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2012 มีอยู่ 2,420,731 คน (10.66% ของประชากรทั้งหมด)[166] ประชากรชาวพื้นเมือง ได้แก่พวกอะบอริจินส์ และชาวเกาะช่องแคบทอร์เร ถูกนับได้ที่ 548,370 คน (2.5% ของประชากรทั้งหมด) ในปี ค.ศ. 2011,[167] เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 115,953 คนในการสำรวจสำมะโนประชากร 1976.[168] การเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจาก หลายคนที่มีมรดกทางวัฒนธรรมพื้นเมืองก่อนหน้านี้ได้ถูกมองข้ามโดยการสำรวจสำมะโนประชากร เนื่องจากมีการนับขาดไปและหลายกรณีที่สถานะทางพื้นเมืองของพวกเขาไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในแบบฟอร์ม
ชาวออสเตรเลียพื้นเมืองมีประสบการณ์การถูกจำคุกและการว่างงาน สูงกว่าอัตราเฉลี่ย, การศึกษาอยู่ในระดับต่ำ, และอายุขัยต่ำกว่า 11-17 ปีเทียบกับผู้ที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง.[150][169][170] ชุมชนท้องถิ่นที่ห่างไกลบางแห่งได้รับการอธิบายว่ามีสภาพเหมือน "รัฐล้มเหลว"[171][172][173][174][175]
ในการมีสิ่งเหมือนกันกับหลายประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ, ออสเตรเลียกำลังประสบการเปลี่ยนแปลงประชากรไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ, ที่มีผู้เกษียณอายุมากขึ้นและคนในวัยทำงานน้อยลง ในปี ค.ศ. 2004 อายุเฉลี่ยของประชากรพลเรือนอยู่ที่ 38.8 ปี[176] ชาวออสเตรเลียจำนวนมาก (759,849 คนระหว่างปี ค.ศ. 2002-03;[177] 1 ล้านคนหรือ 5% ของประชากรทั้งหมดในปี ค.ศ. 2005[178]) อาศัยอยู่นอกประเทศบ้านเกิดของพวกเขา
ศาสนาออสเตรเลียไม่มีศาสนาประจำชาติ จากการสำรวจสำมะโนครัวในปี พ.ศ. 2549 ประชากรประมาณ 12.6 ล้านคน (64%) ประกาศตัวเป็นคริสเตียน ในจำนวนนี้ 5.1 ล้านคน (26%) เป็นคาทอลิก และ 3.7 ล้านคน (19%) เป็นแองกลิกัน ประชากร 3.7 ล้านคนถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม่นับถือศาสนา ซึ่งรวมถึงแนวความเชื่อแบบมนุษยนิยม อเทวนิยม อไญยนิยม และ เหตุผลนิยม ประชากรเกือบหนึ่งล้านคน (5%) นับถือศาสนาอื่น ๆ ซึ่งรวมศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู และศาสนาเชน[179] อย่างไรก็ตาม มีประชากรเพียง 1.5 ล้านคน (7.5%) ที่เข้าโบสถ์เป็นประจำทุกสัปดาห์[180]
ภาษาดูบทความหลักที่: ภาษาของออสเตรเลียแม้ว่าออสเตรเลียจะไม่มีภาษาราชการ แต่ภาษาอังกฤษได้ยึดที่มั่นเป็นภาษาประจำชาติโดย พฤตินัยเสมอ.[181] ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียเป็นความหลากหลายหลักของภาษาด้วยสำเนียงและคำศัพท์ที่โดดเด่น,[182] และ แตกต่างเล็กน้อยจากความหลากหลายอื่น ๆ ของภาษาอังกฤษด้านไวยากรณ์และการสะกดคำ.[183] ภาษาออสเตรเลียทั่วไปทำหน้าที่เป็นภาษามาตรฐาน จากผลของการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2011, ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเดียวที่พูดในบ้านเกือบ 81% ของประชากร ภาษาที่พบพูดที่บ้านมากที่สุดต่อไปเป็น ภาษาจีนกลาง (1.7%), อิตาลี (1.5%), อาหรับ (1.4%), กวางตุ้ง (1.3%), กรีก (1.3%) และ เวียดนาม (1.2%);[161] สัดส่วนของผู้อพยพรุ่นที่หนึ่งและรุ่นที่สองใช้สองภาษา การศึกษาระหว่างปี ค.ศ. 2010-2011 โดย Australia Early Development Index พบว่า ภาษาที่พูดโดยเด็กพบมากที่สุดหลังจากอังกฤษ เป็นภาษาอาหรับ ตามด้วยเวียดนาม, กรีก, จีนและภาษาฮินดี.[184][185]
ระหว่าง 200 ถึง 300 ภาษาออสเตรเลียพื้นเมืองถูกคิดว่าน่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของการติดต่อกับยุโรปครั้งแรก, ซึ่งมีเพียงประมาณ 70 ภาษาเท่านั้นที่มีชีวิตรอด หลายภาษาเหล่านี้จะถูกพูดเฉพาะผู้สูงอายุ; มีเพียง 18 ภาษาพื้นเมืองเท่านั้นที่ยังคงถูกพูดโดยทุกกลุ่มอายุ.[186] ในช่วงเวลาของการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2006, 52,000 ชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย, คิดเป็น 12% ของประชากรพื้นเมือง, ที่รายงานว่าพวกเขาพูดภาษาพื้นเมืองที่บ้าน.[187] ออสเตรเลียมีภาษามือที่เป็นที่รู้จักกันคือ Auslan, ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนหูหนวกประมาณ 5,500 คน.[188]
ศาสนาบทความหลัก: ศาสนาในประเทศออสเตรเลีย
แม่แบบ:Bar percentโปรเตสแตนท์ แม่แบบ:Bar percentโรมันคาทอลิก
ศาสนาในประเทศออสเตรเลีย[161]
ศาสนาเปอร์เซนต์
แองกลิคันและคริสเตียนอื่นๆ 18.7%
อิสลาม 2.6%
พุทธ 2.5%
ฮินดู 1.3%
ยิว 0.5%
อื่นๆ 0.8%
ไม่มีศาสนา 22.3%
ไม่ตอบ 9.4%ออสเตรเลียไม่มีศาสนาแห่งรัฐ; มาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญของออสเตรเลีย ห้ามไม่ให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายใด ๆ ที่จะสร้างศาสนาใด ๆ, กำหนดพิธีทางศาสนาใด ๆ, หรือห้ามกิจกรรมอิสระ ของศาสนาใด ๆ.[189] ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011, 61.1% ของชาวออสเตรเลียถูกนับเป็นคริสเตียน, รวมทั้ง 25.3% เป็นโรมันคาทอลิก และ 17.1% เป็นแองกลิกัน; 22.3% ของประชากรมีการรายงานว่า "ไม่มีศาสนา"; 7.2% ระบุศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียน, ที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มเหล่านี้ เป็นอิสลาม (2.6%) ตามด้วย พุทธ (2.5%), ศาสนาฮินดู (1.3%) และ ยูดาย (0.5%) ส่วนที่เหลืออีก 9.4 % ของประชากรไม่ได้ให้คำตอบที่เพียงพอ.[161]
W R โทมัส ผู้สนับสนุนแห่งออสเตรเลียใต้, ปี 1864, หอศิลป์แห่งรัฐออสเตรเลียใต้ ชาวออสเตรเลียอะบอริจินได้พัฒนาศาสนาของนักวิญญาณนิยมแห่ง'ดรีมไทม์'ก่อนที่จะมีการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปในออสเตรเลีย, ความเชื่อของนักวิญญาณนิยมในคนพื้นเมืองของออสเตรเลียได้รับการปฏิบัติมานานนับพันปี ในกรณีของชาวออสเตรเลียอะบอริจินแผ่นดินใหญ่, จิตวิญญาณของพวกเขาเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น ดรีมไทม์และมันเน้นหนักในการเป็นเจ้าของแผ่นดิน คอลเลกชันของเรื่องราวต่าง ๆ ที่มันเก็บไว้เป็นตัวสร้างรูปแบบของกฎหมายและประเพณีแบบอะบอริจิน ศิลปะ, เรื่องราวและการเต้นรำแบบอะบอริจิน ยังคงวาดลงในประเพณีทางจิตวิญญาณเหล่านี้ ในกรณีของชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส ที่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะระหว่าง ออสเตรเลียและนิวกินี, จิตวิญญาณและประเพณีได้สะท้อนให้เห็นต้นกำเนิดของ Melanesian และการพึ่งพาทะเลของพวกเขา การสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 1996 ออสเตรเลีย นับผู้ตอบแบบสอบถามได้มากกว่า 7,000 คนที่เป็นสาวกของศาสนาอะบอริจินแบบดั้งเดิม.[190]
วิหารคาทอลิกเซนต์แมรี่ส์ในซิดนีย์, สร้างขึ้นจากการออกแบบของวิลเลียม Wardell. ประมาณหนึ่งในสี่ของชาวออสเตรเลียนับถือศาสนาโรมันคาทอลิกตั้งแต่การมาถึงของกองเรือแรกของกองทัพเรืออังกฤษในปี ค.ศ. 1788, ศาสนาคริสต์ได้เติบโตขึ้นเป็นศาสนาหลัก ผลตามมาก็คือ เทศกาลของศาสนาคริสต์เข่น คริสมาสต์ และวันอีสเตอร์จึงเป็น วันหยุดราชการ, ขอบฟ้าของเมืองใหญ่และเมืองเล็กของออสเตรเลียถูกประดับด้วยยอดแหลมของโบสถ์และวิหาร, และโบสถ์คริสต์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา, สุขภาพและ บริการสวัสดิการในประเทศออสเตรเลีย ระบบการศึกษาคาทอลิกดำเนินการเป็นผู้ให้การศึกษาที่ไม่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด, ประมาณ 21% ของการสมัครเรียนขั้นมัธยมเมิ่อปี ค.ศ. 2010, กับ คาทอลิก สุขภาพออสเตรเลียก็คล้ายกันที่เป็นผู้ให้บริการที่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด. องค์กรสวัสดิการคริสเตียนยังมีบทบาทที่โดดเด่นในชีวิตของชาติ, กับองค์กรเช่นหน่วยบรรเทาทุกข์ทหารบก, สมาคมวินเซนต์ เดอพอล และ Anglicare มีการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง การมีส่วนร่วมดังกล่าวได้รับการยอมรับกับธนบัตรของออสเตรเลีย ที่มีการปรากฏตัวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคริสเตียน เช่นนักเขียนอะบอริจิน เดวิด Unaipon ($50); ผู้ก่อตั้งบริการหมอกองบิน จอห์น ฟลินน์ ($ 20 ); และ แคทเธอรี เฮเลน Spence ($5) ผู้สมัครหญิงคนแรกของออสเตรเลียสำหรับสำนักงานทางการเมือง บุคคลสำคัญทางศาสนาชาวออสเตรเลียอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญได้รวมถึง แมรี่ MacKillop ผู้ที่ในปี ค.ศ. 2010 กลายเป็นชาวออสเตรเลียคนแรกที่ได้รับการยอมรับเป็นนักบุญโดยคริสตจักรโรมันคาทอลิก และบาทหลวงเซอร์ ดักลาส คอลส์แห่งคริสตจักรของพระคริสต์, ผู้ซึ่งเหมือน มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ในสหรัฐอเมริกา, นำการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติในประเทศออสเตรเลียและยังเป็นชาวออสเตรเลียพื้นเมืองคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ
สำหรับบทบาทอย่างมากในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย, คริสตจักรแห่งอังกฤษ (ตอนนี้เป็นที่รู้จัก ว่าเป็นคริสตจักรแองกลิกันของออสเตรเลีย) เป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุด แต่ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของคนอพยพเข้าเมืองได้มีส่วนร่วมที่ทำให้ตำแหน่งที่สัมพันธ์ของมันลดลง ทำให้ คริสตจักรโรมันคาทอลิคได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศหลังสงครามให้กับการเข้าเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และกลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ในทำนองเดียวกัน อิสลาม, พุทธ, ศาสนาฮินดู, และศาสนายิว ทุกคนได้รับการขยายตัวในทศวรรษที่ผ่านมาหลังสงคราม.[191] เป็นขอบเขตน้อย, ศาสนาขนาดเล็ก รวมทั้งศรัทธาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, Wicca และ Paganism ยังได้เห็นการเพิ่มขึ้นในจำนวนอย่างมาก ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2001 มี, 17,381 ซิกข์, 11,037 บาไฮ, 10,632 Pagans และ 8,755 Wiccans ในประเทศออสเตรเลีย.[192]
การสำรวจระหว่างประเทศที่ดำเนินการโดยภาคเอกชน และนักวิชาการเยอรมันที่ไม่แสวงหาผลกำไร, มูลนิธิ Bertelsmann, พบว่า " ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศเคร่งศาสนาน้อย ในโลกตะวันตก, เข้ามาอันดับที่ 17 ใน 21 ประเทศที่สำรวจ " และว่า "เกือบสามในสี่ของออสเตรเลีย กล่าวว่าพวกเขามีทั้งที่ไม่ได้เคร่งศาสนาเลยหรือศาสนาไม่ได้มีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเขา."[193] ในขณะที่ การเข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจประจำสัปดาห์ในปี ค.ศ. 2001 มีประมาณ 1.5 ล้าน[194] (ประมาณ 7.8% ของประชากร),[195] การสำรวจความคิดเห็นของชาวออสเตรเลีย 1,718 คนโดย สมาคมวิจัยคริสเตียน ตอนปลายปี ค.ศ. 2009 ชี้ให้เห็นว่า จำนวนของคนที่เข้าร่วมบริการทางศาสนาต่อเดือนในประเทศออสเตรเลีย ได้ลดลงจาก 23% ในปี ค.ศ. 1993 เป็น 16% ในปี ค.ศ. 2009 และในขณะที่ 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 15 ถึง 29 ปี ในปี ค.ศ. 1993 ระบุว่าเป็นคริสเตียน, 33% ได้เข้าร่วมในปี ค.ศ. 2009.[196]
การศึกษาบทความหลัก : การศึกษาในประเทศออสเตรเลีย
การเข้าเรียนที่โรงเรียนหรือการลงทะเบียนการศึกษาที่บ้าน[197][198] เป็นภาคบังคับทั่วประเทศออสเตรเลีย การศึกษาเป็นความรับผิดชอบของแต่ละรัฐและดินแดน[199] ดังนั้น กฎระเบียบจึงแตกต่างกันในแต่ละรัฐ, แต่โดยทั่วไป เด็กจะต้องเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุประมาณ 5 ขึ้นไปจนถึงอายุ 16.[200][201] ในบางรัฐ (เช่น WA}[202] NT,[203] และ NS,[204][205]) เด็กอายุ 16-17 จะต้องไปโรงเรียน หรือมีส่วนร่วมในการฝึกอบรมวิชาชีพ เช่นการฝึกงาน
ออสเตรเลียมีอัตราการรู้หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นที่คาดกันว่าจะเป็น 99% ในปี 2003.[206] อย่างไรก็ตามการ รายงานสำหรับสำนักงานสถิติออสเตรเลียของปี 2011-12 รายงานว่า ทัสมาเนีย มีอัตราการรู้หนังสือและการคำนวณเพียง 50%.[207] ในโปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ, ออสเตรเลียได้คะแนนอย่างสม่ำเสมออยู่ในกลุ่มสูงสุดห้าในสามสิบประเทศที่พัฒนาแล้วที่สำคัญ (ประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) การศึกษาคาทอลิกนับว่าเป็นภาคที่ไม่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด
ออสเตรเลียมี 37 มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และสองมหาวิทยาลัยเอกชน เช่น เดียวกับสถาบันผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ จำนวนมาก ที่จัดให้หลักสูตรที่ได้รับการอนุมัติในระดับการศึกษา ที่สูงขึ้น.[208] มหาวิทยาลัยซิดนีย์เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1850 ตามมาด้วยมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในสามปีต่อมา มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ รวมถึงบรรดาของกลุ่มแปดสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ รวมทั้งมหาวิทยาลัยแอดิเลด (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับห้ารางวัลโนเบล), มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของ Canberra, มหาวิทยาลัย Monash และมหาวิทยาลัยแห่งนิวเซาเวลส์
OECD ได้วางตำแหน่งออสเตรเลียอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศที่มีราคาแพงที่สุดในการเข้ามหาวิทยาลัย.[209] มีระบบของรัฐที่ใช้ในการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือที่เรียกว่า TAFE, และธุรกิจการค้าจำนวนมากได้ ดำเนินการฝึกอบรมและฝึกงานให้กับพ่อค้าใหม่.[210] ประมาณ 58% ของชาวออสเตรเลียวัย 25-64 มีคุณสมบัติทางอาชีวศึกษาหรืออุดมศึกษา[150] และอัตราการสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่ที่ 49%, สูงที่สุดในกลุ่มประเทศโออีซีดี อัตราส่วนของนักศึกษาต่างประเทศต่อนักศึกษาท้องถิ่น ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศออสเตรเลีย สูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD.[211]
สุขภาพดูเพิ่มเติม: การดูแลสุขภาพในประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลียมีอายุขัยเป็นที่สี่ที่สูงที่สุดในโลกรองจาก ไอซ์แลนด์, ญี่ปุ่น และฮ่องกง.[212] อายุขัยในประเทศออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2010 อยู่ที่ 79.5 ปีสำหรับผู้ชาย และ 84.0 ปีสำหรับผู้หญิง.[213] ออสเตรเลียมีอัตราโรคมะเร็งผิวหนังที่สูงที่สุดในโลก[214] ในขณะที่ การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการตายและโรคที่ป้องกันได้ที่ใหญ่ที่สุด, รับผิดชอบได้ 7.8% ของการเสียชีวิตและโรคโดยรวม. อยู่ในอันดับที่สองในสาเหตุที่ป้องกันได้คือความดันโลหิตสูงที่ 7.6% กับโรคอ้วนที่สามที่ 7.5%.[215][216] ออสเตรเลียอยู่ในอันดับ 35 ในโลก[217] และอยู่ใกล้กับอันดับสูงสุดของประเทศพัฒนาแล้วสำหรับสัดส่วนของผู้ใหญ่อ้วน.[218]
ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับสุขภาพ (รวมถึงการใช้จ่ายภาคเอกชน) อยู่ที่ประมาณ 9.8% ของ GDP.[219] ออสเตรเลียแนะนำการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าในปี ค.ศ. 1975.[220] รู้จักกันในชื่อ เมดิแคร์, ตอนนี้ได้รับทุนสนับสนุนโดยคิดค่าใช้จ่ายภาษีรายได้ หรือที่เรียกว่า การจัดเก็บเมดิแคร์ ปัจจุบันคิดที่ 1.5%.[221] รัฐเป็นฝ่ายจัดการด้านโรงพยาบาลและบริการผู้ป่วยนอก ในขณะที่รัฐบาลกลางจ่ายเงินอุดหนุนแผนสวัสดิการเภสัชกรรม (อุดหนุนค่าใช้จ่ายของยา) และการปฏิบัติทั่วไป.[220]
เมืองใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย
เมืองใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย
June 2012 Australian Bureau of Statistics estimates[222]
ที่เมืองรัฐประชากรที่เมืองรัฐประชากร
ซิดนีย์
เมลเบิร์น1ซิดนีย์นิวเซาท์เวลส์4,667,28311โฮบาร์ตทัสเมเนีย216,959
บริสเบน
เพิร์ท
2เมลเบิร์นวิกตอเรีย4,246,34512กีลองวิกตอเรีย179,042
3บริสเบนควีนส์แลนด์2,189,87813ทาว์นวิลล์ควีนส์แลนด์171,971
4เพิร์ทเวสเทิร์นออสเตรเลีย1,897,54814แคนส์ควีนส์แลนด์142,528
5แอดิเลดเซาท์ออสเตรเลีย1,277,17415ดาร์วินนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี131,678
6โกลโคสต์–ทวีด เฮดส์ควีนส์แลนด์/นิวเซาท์เวลส์590,88916ทูวูมบาควีนส์แลนด์110,472
7นิวคาสเซิล–มาอิตแลนด์นิวเซาท์เวลส์418,95817บัลลาราตวิกตอเรีย95,007
8แคนเบอร์รา–ควีนเบยันแคพิทอลเทร์ริทอรี/นิวเซาท์เวลส์411,60918เบนดิโกวิกตอเรีย89,666
9ซันไชน์โคสต์ควีนส์แลนด์285,16919ลูนเคสทันทัสเมเนีย86,109
10วอลลอนกองนิวเซาท์เวลส์282,09920อัลเบอร์รี่–โวดองกานิวเซาท์เวลส์/วิกตอเรีย84,982
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น